ปริศนาลึกลับที่โด่งดังของโลก ที่แท้จริงถูกเฉลยไปนานแล้ว

ปริศนาลึกลับที่โด่งดังของโลก บนโลกเราใบนี้มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับปริศนาลึกลับที่ยังถูกกล่าวอ้างว่า “ยังไม่มีคำตอบทางวิทยาศาสตร์” ซึ่งถูกเล่าขานสืบต่อกันมาอย่างยาวนานจนกลายเป็นเรื่องที่โด่งดังบนโลกอินเทอร์เน็ต แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปริศนาบางอย่างที่เราคิดว่าลึกลับนั้นถูกเฉลยไปนานแล้ว วันนี้จะหยิบยกปริศนาที่คุณคิดว่ายังไม่ถูกไขเหล่านี้มาเฉลยให้คุณได้อ่านกันว่าแท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไร

 

ปริศนาลึกลับที่โด่งดังของโลก การหายไปของชาวมายา

 

ปริศนาลึกลับที่โด่งดังของโลก นี่คือหนึ่งในการล่มสลายของอารยธรรมที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ ชาวมายา ดูเหมือนจะละทิ้่งอารยธรรมที่ซับซ้อนของพวกเขาและหายตัวไปในป่าอเมริกากลาง มีทฤษฎีมากมายที่พยายามอธิบายเรื่องนี้หรือแม้กระทั่งโยงไปถึงการมาของมนุษย์ต่างดาว จนกระทั่งในปี 2005 มีทฤษฎีที่ได้รับการยืนยันในเรื่องนี้ อารยธรรมมายาพังทลายลงเนื่องจากภัยพิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาทำเอง ชาวมายาโค่นต้นไม้จำนวนมากจนทำให้ความแห้งแล้ง พวกเขาต้องเจอกับความร้อนจากดวงอาทิตย์ประกอบกับปริมาณน้ำฝนที่ลดลง จนทำให้พวกเขาต้องละทิ้งดินแดนที่เคยอุดมสมบูรณ์เพื่อย้ายถิ่นฐานไปหาอาหารต่อไป

 

หินเดินได้เองในหุบเขาเดธวัลเลย์

 

หินเดินได้เองในหุบเขาเดธวัลเลย์ นี่คือปริศนาที่ถูกพูดถึงกันมานานกว่า 100 ปี เกี่ยวกับหินที่สามารถเคลื่อนที่ได้เองในเขตพื้นที่แห้งแล้งของหุบเขาเดธวัลเลย์ จากร่องรอยที่เกิดขึ้นบนพื้นดินสรุปได้ว่ามันเคลื่อนที่ด้วยตัวเอง ไม่มีร่องรอยการรวบกวนของมนุษย์หรือสัตว์ใด ๆ ทั้งสิ้น มีทฤษฎีที่พยายามอธิบายเรื่องนี้ตั้งแต่ ลม ฝน แรงดึงดูด สนามแม่เหล็ก คนมือบอน หรือแม้แต่มนุษย์ต่างดาว (อีกแล้ว) แต่สุดท้ายทีมนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ค้นพบความลับที่ทำให้ก้อนหินเคลื่อนไหวได้ ในปี 2011 นักวิจัยจาก Scripps Institute of Oceanography ได้ติดตั้ง GPS เอาไว้ที่ก้อนหิน 15 ก้อน และคอยเฝ้าดูพวกมัน

2 ปีต่อมาพวกเขาพบว่า เมื่อเดธวัลเลย์เจอกับพายุฝนในฤดูหนาวที่เกิดขึ้นได้ยาก น้ำฝนจะไหลลงสู่พื้นดินที่ราบเรียบและกลายเป็นน้ำแข็งในชั่วข้ามคืน ส่งผลให้เกิดเป็นแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่รอบ ๆ ก้อนหิน ในตอนเช้าเมื่อน้ำแข็งละลายและเริ่มแตกออก ประกอบกับลมที่พัดแรงจะส่งผลให้ก้อนหินที่อยู่บนแผ่นน้ำแข็งจะไถลไปได้ไกลบนพื้นที่ราบ และเมื่อน้ำแข็งละลายเราก็จะไม่พบหลักฐานใด ๆ เหลือเพียงแค่ร่องรอยที่หินเคลื่อนที่ทิ้งเอาไว้จนเป็นปริศนาให้มนุษย์งุนงง

 

เสาเหล็กโบราณที่ไม่ขึ้นสนิม

 

เสาเหล็กแห่งเดลี เป็นเสาเหล็กโบราณที่มีความสูงถึง 23 ฟุต ที่พบในแหล่งโบราณคดีกุตุบ สร้างขึ้นประมาณปี 450 และทำให้ชาวบ้านและนักวิทยาศาสตร์หลายคนประหลาดใจว่า ทำไมมันไม่ขึ้นสนิมล่ะ? จนกระทั่งมีคนเชื่อมโยงมันเข้ากับความจริงที่ว่ามันอาจจะถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ต่างดาวอีกครั้ง แต่จากการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์พบว่า เสาเหล็กนี้ถูกเคลือบด้วยชั้นบาง ๆ ที่เรียกว่า Misawite โดยเป็นสารประกอบของเหล็ก ออกซิเจน และไฮโดรเจน ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เหล็กเกิดสนิมได้ ซึ่งถือว่าเป็นความรู้ที่น่าทึ่งของคนโบราณที่คิดค้นสิ่งเหล่านี้ได้

 

ยูเอฟโอตกที่รอสเวลล์

 

ยูเอฟโอตกที่รอสเวลล์ ย้อนกลับไปในปี 1947 เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่ามีวัตถุประหลาดหล่นในฟาร์มใกล้รอสเวลล์ รัฐนิวเม็กซิโก และผู้คนเชื่อว่าเป็นยานอวกาศจากนอกโลก รวมถึงทฤษฎีที่รัฐบาลสหรัฐฯ พบนักบินจากนอกโลกแล้วแอบจับตัวไปสอบสวน เรื่องนี้ก็โด่งดังและพูดถึงกันมานานแล้ว ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐออกมาประกาศว่ามันคือบอลลูนตรวจอากาศธรรมดา แต่จริง ๆ แล้วมันคือบอลลูนระดับสูง (High-Altitude Balloon) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตรวจสอบการทดสอบปรมาณูของโซเวียต ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นความลับสุดยอดในระหว่างช่วงสงครามเย็น ณ ตอนนั้น ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการปล่อยให้ทฤษฎีสมคบคิดเรื่องยูเอฟโอแพร่ออกไป และมันก็ได้ผลมานานหลายทศวรรษเลยทีเดียว

 

ความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

 

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา นี่เป็นทฤษฎีสมคบคิดที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 เกี่ยวกับการหายตัวไปของเครื่องบินและเรือในสามเหลี่ยมลึกลับ จากรายงานระบุว่า มีเรืออย่างน้อย 50 ลำ และเครื่องบิน 20 ลำ สูญหายจนไม่สามารถติดตามได้ แน่นอนว่ามีหลายทฤษฎีว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น มีฟองก๊าซมีเทนปะทุขึ้นอย่างกะทันหัน มีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่อยู่ มีมนุษย์ต่างดาวที่จับคนและทดลองกับพวกมัน หรือแม้แต่บางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเมืองแอตแลนติสที่สูญหายไป แต่ประเด็นที่มาหักล้างเรื่องนี้ไม่ใช่การอธิบายเหตุผลที่เรือและเครื่องบินหายไป แต่สิ่งที่ตอบเรื่องนี้ได้ชัดเจนที่สุดก็คือ “สถิติ” การหายไปของเรือและเครื่องบินที่เกิดขึ้นที่นี่ “ไม่แตกต่างจากที่อื่น” และข่าวเรื่องเบอร์มิวดาก็ถูกสื่อในขณะนั้นสร้างกระแสอย่างต่อเนื่อง เพราะมันเป็นข่าวที่ผู้คนให้ความสนใจและขายได้นั่นเอง

 

ฟอสซิลแมมมอธเพศตัวเมียหายไปไหน

 

นักวิทยาศาสตร์สับสนว่าเหตุใด 70 เปอร์เซ็นต์ของ ฟอสซิลแมมมอธ จึงพบตัวผู้ ในขณะที่ฟอสซิลตัวเมียจึงหายากมาก ในปี พ.ศ. 2560 พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งสวีเดนพบว่า สาเหตุมาจากชีวิตที่ย่ำแย่ของแมมมอธตัวผู้ เมื่อพวกมันโตเต็มวัย พวกมันจะถูก “ผู้นำ” ตัวเมียไล่พวกมันออกจากฝูง ชายหนุ่มจะอาศัยอยู่ตามลำพังหรือรวมกลุ่มเป็นชายหนุ่มโสด พฤติกรรมของตัวผู้เหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะติดอยู่ในแอ่งน้ำหรือหนองน้ำมากกว่า จนนำไปสู่โอกาสที่จะกลายเป็นฟอสซิล

เนสซี สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนสส์

 

ปริศนาลึกลับที่โด่งดังของโลก เนสซี ตำนานว่าไว้ว่า เป็นเวลาเกือบ 1,500 ปีที่ผู้คนรายงานการพบเห็นสิ่งมีชีวิตลึกลับขนาดใหญ่อาศัยอยู่ในทะเลสาบเนสส์ ในประเทศสกอตแลนด์ แต่มันกลายเป็นกระแสหนักขึ้นตั้งแต่ปี 1933 หลังจากมีการสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเลสาบแห่งนี้ หนึ่งปีต่อมา โรเบิร์ต วิลสัน ศัลยแพทย์ชาวอังกฤษได้อ้างว่าเขาถ่ายภาพสัตว์ประหลาดในตำนานนี้ได้ มันกลายเป็นภาพที่โด่งดังที่สุดจนทำให้มีผู้คนหลงเชื่อมากมาย โดยในปี 2012 มีการสำรวจและพบว่า ชาวสกอตแลนด์ 1 ใน 4 คนเชื่อว่าเนสซีมีจริง จนกระทั่งในปี 2019 ทีมนักวิจัยจากนิวซีแลนด์นำตัวอย่างน้ำจากทะเลสาบเนสส์ไปวิเคราะห์และศึกษา DNA ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อาศัยอยู่ที่นั่น โดยพวกเขาไม่พบหลักฐานของไดโนเสาร์ ปลาสเตอร์เจียน ปลาดุก หรือฉลาม หรือ DNA ของสัตว์ใด ๆ ก็ตามที่พวกเขาไม่รู้จัก พวกเขาพบแค่ DNA ของปลาไหลมากมายที่นี่

 

บทความแนะนำ