คิดค้นเทคนิคใหม่มองหาเอเลียนด้วย วัตถุอวกาศ ที่ล้อมรอบดาว

ศูนย์วิจัย Search for Extraterrestrial Intelligence (SETI) ได้พยายามค้นหาร่องรอยของมนุษย์ต่างดาว ใน ระบบสุริยะ ที่มีอารยธรรมสูงโดยฟังและตรวจสอบคลื่นวิทยุจักรวาลมานานหลายทศวรรษ พวกเขายังไม่พบสิ่งบ่งชี้ใด ๆ ว่าพวกเขาเป็นคนต่างด้าวในทางใดทางหนึ่ง วัตถุอวกาศ  สิ่งนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์สร้างวิธีการค้นหาแบบใหม่และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ค้นคว้า วัตถุอากาศ

 

 

Dr. Hector Socas-Navarro แห่งสถาบันดาราศาสตร์ฟิสิกส์แห่งหมู่เกาะคานารีแห่งสเปน เขาได้เสนอหลักการที่เป็นไปได้สำหรับการวัดความสว่างของดาวฤกษ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อดาวเทียมหรือ วัตถุอวกาศ อื่น ๆ เคลื่อนผ่านไปข้างหน้าเป็นระยะ ในกรณีนี้ จะใช้วิธี Transit Photometry กับการลดความสว่างของดวงดาวและปรากฏการณ์อื่นๆ ที่เกิดขึ้นขณะซ่อนตัว มันจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติต่าง ๆ ของ ดาวเคราะห์  ที่สามารถผ่านหน้าคุณ

 

บทความที่นำเสนอวิธีการได้รับการเผยแพร่ ในเอกสารทางวิชาการออนไลน์ arXiv.org ดร.นาวาร์โร ระบุว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีหน่วยสืบราชการลับของมนุษย์ต่างดาวที่มีอารยธรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเหมือนกับมนุษย์ มีแนวโน้มว่าวัตถุในอวกาศ เช่น ดาวเทียม สถานีอวกาศ และแผงโซลาร์เซลล์จะถูกสร้างขึ้นในอวกาศ มีอาณานิคมขนาดเล็กในอวกาศ หรือแม้แต่เศษอวกาศจำนวนมากที่โคจรรอบดาวของพวกมัน อย่างที่มันเป็นในโลกของเรา

Transit Photometry วิเคราะห์องค์ประกอบของดาวเคราะห์นอกระบบซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายหมื่นปีแสง มีวัตถุในอวกาศที่บ่งบอกว่ามีอารยธรรมอยู่รายรอบหรือไม่?

Dr Navarro สุ่มตัวอย่าง ดาวเคราะห์  ในระบบ Trappist-1 ที่ NASA ค้นพบเมื่อปีที่แล้ว หากดาวเคราะห์ดวงใดในระบบเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดจริงๆ และมีแนวโน้มว่าในอนาคตจะมีวัตถุในอวกาศโคจรรอบดาวฤกษ์ขนาดเท่าโลกของเราในปี 2200

 

 

 

 

ดร. นาวาร์โรเรียกแถบวงโคจรของ วัตถุอวกาศ  ที่เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าดาวดวงนั้นมีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาว่า “วงโคจรคลาร์กนอก ระบบสุริยะ ” (Clarke Exobelt – CEB) ซึ่งดัดแปลงมาจากคำว่า Clarke Belt หรือ

 วงโคจร คลาร์ก ซึ่งหมายถึงวงโคจรค้างฟ้า (Geostationary orbit) ของดาวเทียมสื่อสารต่าง ๆ ที่เรียงตัวเป็นแถบเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลก สูงขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล 35,786 กิโลเมตร

คำว่าวงโคจรคลาร์กนั้น มาจากชื่อของเซอร์อาเธอร์ ซี. คลาร์ก (Arthur C. Clarke) นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ซึ่งเป็นคนแรกที่เสนอแนวคิดให้ใช้ดาวเทียมที่โคจรค้างฟ้าในอวกาศเป็นเครื่องมือสื่อสาร ในปี 1945

ดร. นาวาร์โรอธิบายเพิ่มเติมว่า “แม้แถบของ วัตถุอวกาศ ที่เอเลียนสร้างขึ้นล้อมรอบดาวเคราะห์ อาจแยกออกจากแถบของวงแหวนที่เป็นองค์ประกอบตามธรรมชาติของดาวนั้นเองได้ยาก แต่แถบของวัตถุอวกาศทั้งสองชนิดนี้มีลักษณะแตกต่างกัน โดยแถบของวงแหวนตามธรรมชาติจะมีรัศมีเป็นวงโคจรกว้างกว่า แต่ไม่สู้จะเรียงตัวเป็นแถบใหญ่มากนัก ในขณะที่แถบวงโคจร CEB ที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาว จะมีขนาดของ วงโคจร เป็นรัศมีแคบกว่า แต่จะมีหน้าแถบขนาดใหญ่มากกว่า”

“ในเมื่อเราต้องติดตามค้นหาและศึกษาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ ด้วยวิธี Transit Photometry อยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องเสียหายหรือสิ้นเปลืองอะไร หากเราจะใช้วิธีการเดียวกันมองหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากต่างดาวไปพร้อมกันด้วย” ดร. นาวาร์โรกล่าวทิ้งท้าย

บทความแนะนำ